โครงงานคอมพิวเตอร์
เรื่อง โรคไข้เลือดออก
จัดทำโดย
1. นางสาว วนันต์ เปี่ยมท่าน เลขที่ 20
|
3. นางสาว มัลลิกา สารีวงษ์ เลขที่ 30
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10
รายวิชา ง33241 โครงงานคอมพิวเตอร์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2559
โรงเรียนกาญจนานุเคราะห์
จังหวัดกาญจนบุรี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 8
เกี่ยวกับโครงงาน
โครงงานคอมพิวเตอร์
เรื่อง โรคไข้เลือดออก
กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานการอาชีพและเทคโนโลยี
ผู้จัดทำ 1. นางสาว วนันต์ เปี่ยมท่าน เลขที่ 20
2.
นางสาว ณัฐมน อ่วมชม เลขที่ 29
3. นางสาว มัลลิกา สารีวงษ์ เลขที่ 30
ครูที่ปรึกษา 1. คุณครูพัชรี หรีหร่อง
ตำแหน่ง
ครู
สถานศึกษา โรงเรียนกาญจนานุเคราะห์
จังหวัดกาญจนบุรี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต8
ปีการศึกษา 2559
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานเรื่อง
โรคไข้เลือดออก สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจาก
คุณครู พัชรี หรีหร่อง คุณครูที่ปรึกษาประจำวิชา ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษาแนะนำและตรวจสอบ
แก้ไข ข้อบกพร่องทุกขั้นตอนของการจัดทำโครงงาน
คณะผู้จัดทำโครงงานขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบพระคุณ เพื่อนนักเรียน
ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ไม่ได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้
ที่ได้ให้กำลังใจและมีส่วนช่วยเหลือให้โครงงานฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี
ท้ายที่สุด
คณะผู้จัดทำโครงงานหวังว่าโครงงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจไม่มากก็น้อย
คณะผู้จัดทำ
1. นางสาว วนันต์ เปี่ยมท่าน เลขที่ 20
2. นางสาว ณัฐมน อ่วมชม เลขที่ 29
3.
นางสาว มัลลิกา สารีวงษ์ เลขที่ 30
หัวข้อโครงงาน : โรคไข้เลือดออก
ประเภทของโครงงาน : โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ผู้เสนอโครงงาน : นางสาว วนันต์ เปี่ยมท่าน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 เลขที่ 20
: นางสาว ณัฐมน อ่วมชม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 เลขที่ 29
: นางสาว มัลลิกา สารีวงษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 เลขที่ 30
ครูที่ปรึกษาโครงงาน : คุณครู พัชรี หรีหร่อง
: นางสาว มัลลิกา สารีวงษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 เลขที่ 30
ครูที่ปรึกษาโครงงาน : คุณครู พัชรี หรีหร่อง
ปีการศึกษา : 2559
บทคัดย่อ
โครงงานเรื่องโรคไข้เลือดออกจัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันโรคไข้เลือดออก
เนื่องจากในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมากขึ้น
ทางคณะผู้จัดทำจึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาไว้ในโครงงานเล่มนี้ เพื่อผู้ที่เข้ามาศึกษาโครงงานโรคไข้เลือดออกจะได้รับความรู้โรคไข้เลือดออก และศึกษาวิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
ดังนั้นทางคณะผู้ทำหวังว่าโครงงานเรื่องโรคไข้เลือดออกจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจอย่างมาก
และหวังว่าโครงงานเรื่องโรคไข้เลือดออกจะให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้าศึกษาหาความรู้ได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกมากพอสมควร
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
โรคไข้เลือดออก ที่พบในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในเอเชียอาคเนย์เกิดจากไวรัส dengue จึงเรียกชื่อว่า Dengue hemorrhagic fever
(DHF) ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่เป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์ อาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก
จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด
และทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในทันที
โรคไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต คณะผู้จัดทำจึงศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก
เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่ศึกษาและสนใจในโรคไข้เลือดออก
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคไข้เลือดออก
2.เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกลงในเว็บไซต์
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
เป็นการสร้างสื่อให้ความรู้
เรื่องโรคไข้เลือดออก จากโปรแกรม
เพื่อการศึกษาเรื่องโรคไข้เลือดออก และ ศึกษาสาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก
รวมไปถึงศึกษาวิธีการป้องกัน
และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกให้แก่ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผู้ที่เข้ามาศึกษาโครงงานโรคไข้เลือดออกจะได้รับความรู้โรคไข้เลือดออก
2.ทำให้รู้จักวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก
3.ทำให้เกิดประโยชน์กับผู้ที่สนใจ
บทที่ 2
เอกสารและโครงงานที่เกี่ยวข้อง
ในการจัดทำโครงงาน
เรื่องโรคไข้เลือดออก ผู้จัดทำได้ศึกษาข้อมูลต่างๆดังนี้
1. แหล่งที่อยู่ยุงลาย
2. การสืบพันธุ์ยุงลาย
3. การติดต่อของโรคไข้เลือดออก
4.
อาการของโรคไข้เลือดออก
5.
การรักษาและการป้องกันโรคไข้เลือดออก
6. อาหารที่ควรทานและไม่ควรทานถ้าเป็นโรคไข้เลือดออก
1. แหล่งที่อยู่ยุงลาย
ยุงลายจะพบมากในเขตร้อนชื้นโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุงชนิดนี้จะพบมากในเขตชุมชนโดยเฉพาะในถิ่นที่แออัด
เนื่องจากมีแหล่งน้ำให้ยุงแพร่พันธุ์
แต่ในชนบทโดยเฉพาะที่เริ่มแออัดก็จะพบว่ามียุงลายเพิ่มมากขึ้น
ความกดอากาศก็มีผลต่อความเป็นอยู่ของยุง พบว่าในพื้นที่ระดับสูงกว่าน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตรจะมีความหนาแน่นของยุงมาก แต่ในพื้นที่เป็นภูเขาจะพบยุงชนิดนี้น้อย
2. การสืบพันธุ์ยุงลาย
ตัวเมียจะวางไข้ในน้ำ
ถ้าอุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมจะเป็นตัวอ่อนในไข่ในเวลา 48 ชั่วโมง และไข่ที่มีตัวอ่อนจะอยู่ได้เป็นปี
เมื่อสภาแวดล้อมเหมาะสมจึงออกมาเป็นตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนออกจากไข้จะใช้เวลา 8 วันจนกลายเป็นยุง แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมอาจจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุงส่วนใหญ่จะวางไข่ในแหล่งกักน้ำ เช่น
กะละ กระป๋อง ยางรถเก่า ถังเก็บน้ำ แก้วรองขาโต๊ะ แจกันเป็นต้น
3. การติดต่อของโรคไข้เลือดออก
ไวรัสเดงกีที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออกสามารถมีชีวิตรอดและเพิ่มจำนวนภายในตัวของยุงลาย
ยุงลายจึงเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก และกล่าวได้ว่าโรคไข้เลือดออกติดต่อจากคนสู่คน
ยุงลายที่เป็นพาหะนี้มีชื่อว่า Aedes aegypti ยุงชนิดนี้ออกหากินเวลากลางวัน ยุงจะกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อไวรัสเดงกีจากผู้ที่กำลังป่วยเป็นไข้เลือดออก
เมื่อยุงลายไปกัดคนใหม่ ก็จะถ่ายทอดเชื้อให้กับคนที่ถูกยุงกัดต่อไป
ยุงชนิดนี้อาศัยอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น
ประเทศไทยจึงเป็นอีกบริเวณหนึ่งที่มีการระบาดของโรคนี้ค่อนข้างสูง
โดยพบการระบาดมากที่สุดในฤดูฝน
ช่วงอายุของคนที่พบว่าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมากที่สุด คือ คนอายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ อายุ 15-24 ปี และ อายุ 5-9 ปี ตามลำดับ ส่วนช่วงอายุ 0-4
ปี และมากกว่า 25 ปี จนถึง 65 ปี เป็นช่วงอายุที่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำนวนน้อยที่สุด
4. อาการของโรคไข้เลือดออก
อาการของโรคนี้คล้ายคลึงกับโรคไข้หวัด กล่าวคือ
มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่แตกต่างกันที่ ไข้จะสูงกว่ามาก
โดยอาจมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะมีหน้าแดง
และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อค่อนข้างมากกว่า หากทำการทดสอบโดยการรัดต้นแขนด้วยสายรัด (Touniquet
test) จะพบจุดเลือดออก ผู้ป่วยอาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น
เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรืออาการเลือดออกผิดปกติอื่นๆ
และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจพบอาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น
ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะลดลง
อาจถึงกับช็อกและเสียชีวิตได้ โดยอาการนำของภาวะช็อกมักเริ่มจากการมีไข้ลดลง
ดังนั้นหากพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีไข้ลดลงตามด้วยอาการดังที่กล่าวมา ควรรีบแจ้งแพทย์หรือนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก
ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว
และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า
ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล
และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา
ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน
ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มักพบว่า มีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผู้ปกครองละเลยการพาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสงสัยไว้ก่อนว่าบุตรหลานที่มีอาการไข้สูงในฤดูฝนอาจเป็นโรคไข้เลือดออก และควรรีบพาบุตรหลานไปรับการรักษา
ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก มักพบว่า มีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผู้ปกครองละเลยการพาผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสงสัยไว้ก่อนว่าบุตรหลานที่มีอาการไข้สูงในฤดูฝนอาจเป็นโรคไข้เลือดออก และควรรีบพาบุตรหลานไปรับการรักษา
ไข้เลือดออกจะมี
3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน
ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ไดร่วมกับอาการหน้าแดง
ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ
หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย
ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด
ๆ
ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก
อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเดงกีที่มีความรุนแรงขั้นที่
3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค
อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น
มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว
และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้
นอกจากนี้
ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล
อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด
ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น
โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง
แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
ของโรคไข้เลือดออก
ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว
ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย
ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5
นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน
หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง)
เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2
วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว
5. การรักษาและการป้องกันโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก ไม่มีการรักษาเฉพาะ
การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออก
และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง
โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยโรค ไข้เลือดออก มีแนวทางการดูแลอย่างใกล้ชิด
ดังนี้
1. ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้
ยาลดไข้ที่ควรใช้คือ พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน
เนื่องจากจะทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร
2. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออก
มักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน
ในรายที่พอทานได้ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือมีภาวะเลือดออก
เช่น อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือดต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
เพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือด
3. ติดตามดูอาการใกล้ชิด
ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น
โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
4. ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ
เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย
1. การป้องกันทางกายภาพ ได้แก่
·
ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด เช่น มีผาปิดปากโอ่งน้ำ
ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงหากยังไม่ต้องการใช้
เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่วางไข่ของยุงลาย
·
เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้สดบ่อยๆ
อย่างน้อยทุกๆ 7 วัน
·
ปล่อยปลากินลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ
เช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมถึงอ่างบัวและตู้ปลาก็ควรมีปลากินลูกน้ำเพื่อคอยควบคุมจำนวนลูกน้ำยุงลายเช่นกัน
·
ใส่เกลือลงน้ำในจานรองขาตู้กับข้าว
เพื่อควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250
มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้นานกว่า 7 วัน
2. การป้องกันทางเคมี ได้แก่
·
เติมทรายทีมีฟอส
ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้และรับรองความปลอดภัย
เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถใส่ปลากินลูกน้ำได้
·
การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย
มีข้อดีคือ ประสิทธิภาพสูง แต่ข้อเสียคือ มีราคาแพง และเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง
จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการฉีดพ่นและฉีดเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น
เพื่อป้องกันความเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง
ควรเลือกฉีดในเวลาที่มีคนอยู่น้อยที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
เช่น ท่อระบายน้ำ กระถางต้นไม้ เป็นต้น
·
การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน
ที่ใช้กันมี 2 ชนิด คือ ยาจุดกันยุง และสเปรย์ฉีดไล่ยุง
โดยสารออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท
(DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น เมื่อก่อนมียาฆ่ายุงด้วย
มีชื่อว่า ดีดีที แต่สารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเนื่องจากเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและตกค้างในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลานานมาก
อย่างไรก็ตาม สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง
ก็มีความเป็นพิษต่อคนและสัตว์
ดังนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังกล่าวควรจุดยากันยุงในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า
ดังนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง
และควรปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
3. การปฏิบัติตัว ได้แก่
·
นอนในมุ้ง
หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด
โดยจะต้องปฏิบัติเหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน
·
หากไม่สามารถนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้
ควรใช้ยากันยุงชนิดทาผิวซึ่งมีสาระสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil
of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง
แต่ประสิทธิภาพจะต่ำกว่า DEET
6. อาหารที่รับประทานและไม่ควรรับประทานถ้าเป็นโรคไข้เลือดออก
อาหารที่รับประธานได้
ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสและฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว
โดยอาหารที่ควรรับประทานคือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะนาว ส้ม เลม่อน
หรือเกรปฟรุต เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น
และควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงด้วย
เพื่อให้มีเรี่ยวแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดี
นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
เช่น โจ๊ก น้ำผัก หรือน้ำผลไม้ แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มน้ำ
เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้มากขึ้นนั่นเอง
อาหารที่รับประทานไม่ได้
นอกจากจะควรรับประทานอาหารอ่อน
ๆ แล้ว ผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ ประเภทอาหารทอด หรือผัด
และไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดเพราะอาจจะทำให้แสบท้องและเกิดเลือดออกในกระเพาะได้ง่าย
นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดง สีดำ หรือสีน้ำตาล
เพราะสีของอาหารอาจจะทำให้การสังเกตอาการเลือดออกในปัสสาวะและอุจจาระเป็นไปได้ยากขึ้นอีกด้วย
โครงงานที่เกี่ยวข้อง
โครงงานคอมพิวเตอร์
เป็นกิจกรรมอิสระที่ผู้เรียนสามารถเลือกศึกษาตามความสนใจโดยใช้ทักษะ
ตลอดจนประสบการณ์ของผู้เรียนด้านคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ในการแก้ปัญหาต่างๆ
ผู้เรียนจะต้องว่างแผนดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
กิจกรรม
ที่จัดว่าเป็นองค์ประกอบ หลักดังนี้
1.
เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์และเครื่องคอมพิวเตอร์
2.
ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มและเลือกเรื่องที่จะศึกษา ค้นคว้า พัฒนา
เก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญ
3.
ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา สรุป และเสนอผลการศึกษาด้วยตนเอง
โดยมีคุณครูเป็นที่ปรึกษา
ทฤษฎีบท
นักวิจัยไทยคิดค้นวิธีการทำหมันยุงลายสำเร็จ
ครั้งแรกของโลก ช่วยควบคุมปริมาณยุง ป้องกันโรคไข้เลือดออก-ไข้ชิคุนกุนยา
เตรียมนำเสนอในเวทีประชุมระดับโลก เป็นต้นแบบให้นานาชาติ
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 รศ.ปัทมาภรณ์ กฤตยพงษ์ หัวหน้าหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศพาหะ และโรคที่นำโดยพาหะ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงความสำเร็จในการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้เทคโนโลยีชีวภาพกำจัดยุงลาย โดยการนำแบคทีเรียของยุงลายสวนและยุงรำคาญ มาพัฒนาและใส่ลงไปในยุงลายบ้าน ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะมีความต้านทานต่อโรคไข้เลือดออก ก่อนนำมาฉายรังสีเพื่อทำให้ยุงตัวผู้เป็นหมัน ป้องกันการเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลายเหล่านี้
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเพาะเพิ่มจำนวนให้มากพอ และจากนี้ภายใน 2-3 เดือน จะนำยุงที่พัฒนาแล้วซึ่งมีชื่อว่า "TH AB" ไปปล่อยในพื้นที่นำร่อง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อให้ยุง TH AB ไปผสมพันธุ์กับยุงตัวเมียที่เป็นยุงลายบ้านทั่วไป เพื่อควบคุมปริมาณยุงลาย ทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือกระทบต่อระบบนิเวศจนเกิดยุงลายสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรม เพียงแค่ใช้เทคนิคทางชีวภาพเท่านั้น
และยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จในครั้งนี้จะได้รับการนำเสนอในเวทีการประชุมระดับนานาชาติ ในงานประชุมควบคุมโรคที่ประเทศบราซิล ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การอนามัยโลกและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ในวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งได้มีการเชิญทีมวิจัยไปด้วยในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และนำเสนอผลการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ นำไปควบคุมปริมาณยุงต่อไป ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่เราพัฒนาสายพันธุ์ยุงให้ป้องกันไข้เลือดออก รวมถึงไข้ชิคุนกุนยาได้ ส่วนซิกาในหลักการน่าจะควบคุมได้ แต่จะศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 รศ.ปัทมาภรณ์ กฤตยพงษ์ หัวหน้าหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศพาหะ และโรคที่นำโดยพาหะ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงความสำเร็จในการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้เทคโนโลยีชีวภาพกำจัดยุงลาย โดยการนำแบคทีเรียของยุงลายสวนและยุงรำคาญ มาพัฒนาและใส่ลงไปในยุงลายบ้าน ซึ่งเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะมีความต้านทานต่อโรคไข้เลือดออก ก่อนนำมาฉายรังสีเพื่อทำให้ยุงตัวผู้เป็นหมัน ป้องกันการเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลายเหล่านี้
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเพาะเพิ่มจำนวนให้มากพอ และจากนี้ภายใน 2-3 เดือน จะนำยุงที่พัฒนาแล้วซึ่งมีชื่อว่า "TH AB" ไปปล่อยในพื้นที่นำร่อง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อให้ยุง TH AB ไปผสมพันธุ์กับยุงตัวเมียที่เป็นยุงลายบ้านทั่วไป เพื่อควบคุมปริมาณยุงลาย ทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือกระทบต่อระบบนิเวศจนเกิดยุงลายสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรม เพียงแค่ใช้เทคนิคทางชีวภาพเท่านั้น
และยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จในครั้งนี้จะได้รับการนำเสนอในเวทีการประชุมระดับนานาชาติ ในงานประชุมควบคุมโรคที่ประเทศบราซิล ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การอนามัยโลกและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ในวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งได้มีการเชิญทีมวิจัยไปด้วยในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และนำเสนอผลการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ นำไปควบคุมปริมาณยุงต่อไป ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่เราพัฒนาสายพันธุ์ยุงให้ป้องกันไข้เลือดออก รวมถึงไข้ชิคุนกุนยาได้ ส่วนซิกาในหลักการน่าจะควบคุมได้ แต่จะศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง
บทที่ 3
วิธีการจัดทำโครงงาน
วัสดุและอุปกรณ์
วัสดุและอุปการณ์ที่ใช้ในการจัดทำโครงงานได้แก่
1. เครื่องคอมพิวเตอร์
โปรแกรมที่ใช้ในการทำโครงงาน
1.โปรแกรม Microsoft Word 2007
2.เว็บไซต์ http://www.blogger.com
วิธีการจัดทำโครงงาน
1. เลือกเรื่องที่สนใจ
เสนอหัวข้อโครงงานกับครูที่ปรึกษาโครงงาน
2. สืบค้นข้อมูล
เอกสารที่เกี่ยวข้อง จากอินเทอร์เน็ตและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
4. รวบรวมและสรุปข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้า
5.
นำไปให้ครูที่ปรึกษาตรวจความถูกต้อง สมบูรณ์
วิธีการสร้างเว็บบล็อก
1. เข้าไปที่ http://www.blogger.com จากนั้นใส่ E-mail ลงในช่องและคลิกถัดไป ดังรูป
2.คลิกที่ บล็อกใหม่ และกำหนดหัวข้อ
ตั้งชื่อเว็บไซต์ และเลือกแม่แบบ ดังรูปเมื่อสร้างบล็อกเสร็จให้กลับมาที่หน้า Home จะเห็นว่าบล็อกของเราไม่มีบทความ
3.เมื่อสร้างบล็อกเสร็จให้กลับมาที่หน้า Home จะเห็นว่าบล็อกของเราไม่มีบทความ ให้คลิกที่รูปปากกาสีส้ม ดังรูป
4.ทำการพิมพ์หรือคัดลอกโครงงาน และแทรกรูปตามต้องการแล้วกดเผยแพร่
ดังรูป
บทที่ 4
ผลการศึกษา
จากการที่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกเพื่อทำโครงงาน
และหลังจากการที่ได้ศึกษาข้อมูลแล้วผู้จัดทำได้รับความรู้ดังนี้
1. ได้รับความรู้ในเรื่องโรคไข้เลือดออก
1. ได้รับความรู้ในเรื่องโรคไข้เลือดออก
2. ได้รับความรู้สาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก
3. ได้รู้วิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
3. ได้รู้วิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย
Aedes aegypti ตัวเมียบินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง
เชื้อไวรัสแดงกี่จะเพิ่มจำนวนในตัวยุงลายประมาณ 8- 10 วัน
เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง
เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2 – 7 วันใช่ช่วงที่มีไข้
หากยุงกัดคนในช่วงนี้จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก
โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน
ชอบวางไข้ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น กะลา กระป๋อง แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อน้ำ ห้วย
หนอง
การป้องกัน แม้ว่าในปัจจุบันกำลังมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสแดงกี่
แต่ก็ยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสแดงกี่ได้
ดังนั้นคำตอบที่ดีที่สุดของโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันนี้ คือ
การป้องกันไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจำนวนลดลงซึ่งทำได้โดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายทั้งลูกน้ำและตัวเต็มวัย
และป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด
บทที่ 5
สรุปผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการศึกษา
ในการจัดทำโครงงานโรคไข้เลือดออก
ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์
ในการศึกษาครั้งนี้ทำให้ตระหนักได้ว่าโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้และควรให้ความสำคัญกับโรคนี้
ต้องมีความพร้อมหลายด้านทั้งการศึกษาด้านวิชาการ การศึกษาซึ่งผู้จัดทำได้มีความรู้เป็นอย่างมาก
และคาดว่าจะต้องมีการศึกษาต่อเพื่อได้รับความรู้เพิ่มเติมและเป็นการเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ได้รับความรู้ในเรื่องโรคไข้เลือดออก
2. ได้รับความรู้สาเหตุการเกิดโรคไข้เลือดออก
3. ได้รู้วิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
3. ได้รู้วิธีการป้องกัน และรักษาการเกิดโรคไข้เลือดออก
ข้อเสนอแนะ
1.ควรมีเนื้อหาที่เยอะกว่านี้
2.การสร้างสื่อควรน่าสนใจกว่านี้
บรรณานุกรม
Kapook. ไข้เลือดออก
โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !. (ออนไลน์).
แหล่งที่มา :
เภสัชกรหญิง
วิภารักษ์ บุญมาก. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน
โรคไข้เลือดออก. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/.
Sanook. โรคไข้เลือดออก
(Dengue Haemorrhagic Fever) . (ออนไลน์).
แหล่งที่มา :
ธัญชนก บูรัมย์. โครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องโรคไข้เลือดออก. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
ภาคผนวก
ภาพที่
1 ยุงลายบ้าน
ภาพที่
2 วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่ 3
วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่ 4
วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่
5 วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่
6 วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่ 7 วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่ 8 วิธีป้องกันยุงลาย
ภาพที่ 9 อาการของโรคไข้เลือดออก
ภาพที่
10 การเดินรณรงค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น